รีวิวหนัง Scream 6

รีวิวหนัง Scream 6 เป็นหนังแฟรนไชส์อีกเรื่องที่ฆ่าแกงกันมันส์มือ ที่พยายามหาทางและขยายแนวทางไปเรื่อย ๆ และดูเหมือนจะไม่จบง่าย ๆ และเป็นการกลับมาของ “Scream 6 หวีดสุดขีด 6” ต้นตำรับหนังเชือดเฉือน ความน่ากลัวที่คงกระพันมานานเข้าสู่ทศวรรษที่ 3 การกลับมาครั้งนี้ถือว่าแบกความสดไว้เต็มบ่า ด้วยเมืองใหม่ กฎใหม่ และกลุ่มใหม่ที่ต้องระมัดระวัง ผู้ชมจะไม่สามารถติดตามได้

สำหรับภาคนี้ Scream 6 มุ่งเน้นไปที่ผู้รอดชีวิตจากความโหดร้ายของ Ghost Face นำโดย Sam และ Tara ที่ตัดสินใจทิ้ง Woodsboro ไว้เบื้องหลัง เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในมหานครนิวยอร์คกับเพื่อน ๆ ที่พวกเขาคาดไม่ถึงเช่นกัน สิ่งที่น่ากลัวที่สุดก็ยังคงติดตามหลอกพวกเขาหลายคนมายังเมืองใหญ่แห่งนี้เช่นกัน

และในภาคนี้ก็ยังได้ดูโอ้ผู้กำกับคนเดิม “แมตต์ เบ็ตติเนลลี-โอลพิล” และ “ไทเลอร์ ยิลเลตต์” มาสานต่อเรื่องราวในภาคอื่น ที่ต้องยอมรับในฝีมือของพวกเขาที่ช่ำชองในงานภาพยนตร์ประเภทนี้เป็นทุนเดิม และภาคใหม่นี้ พวกเขาเริ่มควบคุมทิศทางของภาพยนตร์ได้คล่องขึ้น วางแนวคิด และพยายามสร้างกฎเกณฑ์ใหม่ให้กับภาพยนตร์ชุดนี้ ซึ่งก็ถือเป็นความประทับใจที่ดี แต่ก็ยังมีหลายๆ แง่มุม ที่สัมผัสได้ ซึ่งอาจจะไม่ได้ผล

แน่นอนว่าความสดใหม่ของ Scream 6 ภาคนี้คือการย้ายสถานที่ ที่ไม่วนเวียนและจำเจกับเมืองเก่า Woodsboro อีกต่อไป ซึ่งทำให้สิ่งรอบข้างดูแปลกใหม่ในหนังมากยิ่งขึ้น แม้ว่าเนื้อเรื่องของหนังจะยังคงวนเวียนซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ผู้สร้างก็ทราบดีว่าหนังต้องงัดเทคนิคไหนออกมา? และผู้ชมต้องการเห็นอะไรในภาพยนตร์เรื่องนี้กันแน่? จึงทำให้หนังต้องฆ่ากันอย่างบ้าคลั่งด้วยความยาวถึง 2 ชั่วโมง ยังคงฆ่าแกงกันสนุกสนาน

สคริปต์สำหรับ Scream 6 ยังได้ทีมงานจากภาคที่แล้วอย่าง James Vanderbutt และ Guy Busic มารับบทของพวกเขาอีกครั้ง นอกจากนี้ยังชื่นชมที่พวกเขาสรรหาแนวคิดใหม่ๆ มาเสริมโครงเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้ แม้บทจะยังยึดสูตรสำเร็จดั้งเดิมของซีรีส์ Scream แต่การใช้ลูกเล่นและปรับวิธีการเล่าเพื่อสร้างบรรยากาศให้คนดูเข้าใจผิดอยู่เสมอนั่นคือเสน่ห์สำคัญของ Friend หนังเรื่องนี้นั่นเอง

ความยัดเยียดสดุดีเฟรนไชส์ รีวิวหนัง Scream 6

รีวิวหนัง Scream 6 และที่เห็นได้ชัดเจนในภาคนี้ก็คือ ความพยายาม (หรือจะบอกว่าดีเกินไป?) ที่จะเชิดชูและเชิดชูแฟรนไชส์นี้ ที่ดำเนินมายาวนานกว่า 20 ปี จนมาถึงภาคที่ 6 ในวันนี้ พวกเขาใส่ลูกเล่นและ Easter Eggs มาดักแฟนๆ ไว้มากมาย มีทั้งจุดที่ผสมผสานกันได้ดีและจุดที่รู้สึกว่ายัดเยียดไปหน่อย นี่คือความพยายามของหนังที่จะเดินตามรอยของการเสริมความแข็งแกร่ง แฟรนไชส์นี้. ถึงจุดที่ฉันอยากจะเรียกตัวเองว่าครอบครัวอย่างอื่น

ด้านการแสดงภาคนี้มีทั้งนักแสดงหน้าเดิมและหน้าใหม่มาร่วมงาน “เมลิสซ่า บาร์เรร่า” มารับบทหนักเป็นตัวละครหลักในการดำเนินเรื่องของภาคนี้ ถือว่าเธอรับมือได้ดี แต่อาจไม่เทียบเท่าภาคก่อนๆ ก็ยังโชคดี ที่ “เจนน่า ออร์เตก้า” ขยับขึ้นมาเป็นนางเอกอีกคน หลังจากที่เธอแจ้งเกิดเป็นดาวรุ่งดวงใหม่ พลังซุปตาร์ ของเธอก็ช่วยประคองหนังเรื่องนี้ให้ถูกจังหวะ

หนังยังได้ “คอร์ทนี่ย์ ค็อกซ์” นักแสดงสาวจากภาคเดิมกลับมาในภาคนี้ด้วย ที่ดูเหมือนจะเป็นแค่ตัวประกอบ พร้อมด้วย “เฮย์เดน ปาเน็ตเทียร์” ที่เป็นส่วนหนึ่งของจักรวาลนี้ กลับมาปรากฏตัวอีกครั้งเช่นกัน ร่วมด้วย “เดอร์มอต มัลโรนี”, “เมสัน กู๊ดดิง” หรือ “แจ็ค แชมป์เปี้ยน” ที่มาช่วยสร้างสีสันและ เติมความหล่อให้แน่น กับเรื่องนี้ และนี่คือตัวละครที่พลอยทำให้คนดูแทบจะหยุดวิเคราะห์ไม่ได้ว่าโกสต์เฟซในภาคนี้คือใครกันแน่?

ดังนั้น Scream 6 ก็ยังจัดได้ว่าเป็นหนังเชือดเฉือนที่ยังคงอาศัยบุญและสูตรดั้งเดิมของหนังชุดนี้ แม้จะให้ความรู้สึกเหมือนเป็นหนังที่ยังคงให้อารมณ์ที่วนเวียนอยู่ในอ่างเดียวกัน แต่ความบันเทิงที่นองเลือดของหนังเรื่องนี้ก็ยังตอบสนองความต้องการของผู้ชมได้ดีไม่มีแผ่ว ซึ่งดูเหมือนว่าจักรวาลของหนังจะใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ และตัวละครก็ใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เพราะในภาคนี้ถ้าคุณเริ่มดูเป็นภาคแรก ผมว่าคุณคงจะ งง กับเบื้องหลังและประเด็นต่างๆที่หนังใส่มาไม่น้อย

เมืองใหม่ กฎใหม่

หลังจากที่ ‘Scream’ (2022) นำแฟรนไชส์หนังนกหวีดสุดขั้วกลับมาสานต่อเรื่องราวของกลุ่มตัวละครดั้งเดิม ผสมผสานกับการสร้างเรื่องราวของตัวละครเด็กที่ต้องเล่นเกมฆ่าฟันเหมือนพ่อแม่

ได้รับแรงบันดาลใจจากสายสัมพันธ์ของตัวละครแซม ซึ่งแสดงโดยเมลิสซา บาร์เรรา ซึ่งเป็นทายาทของบิลลี่หรือโกสต์เฟซในภาพยนตร์เรื่องแรก ทำให้เธอตกเป็นเป้าหมายของการล้างแค้นเพื่อสร้างบทใหม่ในภาพยนตร์เรื่อง ‘Stab’ ของผู้คลั่งไคล้ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงจากเรื่องจริงในเมือง Woodsboro อีกครั้ง จนกระทั่งแซมต้องรับน้องสาวต่างมารดาของทาร่าที่รับบทโดยเจน Na Ortega (Jenna Ortega) หนีไปนิวยอร์ก ตามมาด้วยเพื่อนผู้รอดชีวิตมินดี้และแชด

ซึ่งถือเป็นการนำเอาคำว่า Requel (รีเควล) หรือหนังคู่ขนานที่อิงเนื้อเรื่องสำคัญจากต้นฉบับ แต่มีการย้ำใหม่ในลักษณะที่เป็นทั้งการรีบูตและภาคต่อในเวลาเดียวกัน เป็นแนวคิดใหม่ที่นำมารื้อฟื้นแฟรนไชส์โดยผู้สร้างภาพยนตร์เรื่อง ‘Ready or Not’ (2019) ผู้กำกับคู่หู แมตต์ เบ็ตติเนลลี-โอลพิน (แมตต์ เบ็ตติเนลลี-โอลพิน) ) และไทเลอร์ กิลเลตต์ ตลอดจนผู้เขียนบท เจมส์ แวนเดอร์บิลต์ และกาย บูซิค ทุกคนกลับมาในภาคต่อของ Ree เคลนี้ก็เช่นกัน

ที่เพิ่มเติมคือนอกจากหนังจะพยายามเสียดสีสูตรสำเร็จของหนังเชือดที่ซ้ำซากจนเชยแล้ว หนังยังพยายามเลียนแบบสูตรสำเร็จของหนังแฟรนไชส์ที่กลายเป็นกระแสหลักของสตูดิโอยักษ์ใหญ่ในปัจจุบัน ประมาณว่ายิ่งใหญ่กว่าหนังไตรภาคภาคต่อ ยุคนี้พูดถึงแฟรนไชส์หนังกันหมดแล้ว

และแม้ว่านี่จะเป็นภาคแรกที่เรายังไม่ได้เห็น Sidney ตัวละครที่โด่งดังของแฟรนไชส์อย่าง Neve Campbell กลับมามีชีวิตอีกครั้ง เนื่องจากปัญหาส่วนตัวของนักแสดงกับบริษัทภาพยนตร์ในเรื่องค่าจ้าง แต่เรายังคงได้เห็นตัวละครดั้งเดิมอย่างนักข่าว Gale ที่รับบทโดย Courteney Cox ส่งไม้ต่อให้กับเด็กๆ เพื่อแสดงความเคารพต่อตัวละคร Sydney ผ่านการกล่าวถึงของเขา ละครในเรื่องที่อาจเล่าถึงบทสรุปของตัวละครตัวนี้ แต่ก็ยังมีช่องว่างสำหรับการกลับมาในอนาคตเช่นกัน (หากเจรจากับนักแสดงลงตัว)

ในขณะเดียวกัน ตัวละคร Kirby Reid ของ Hayden Panettiere ซึ่งปรากฏตัวเป็นหนึ่งในเหยื่อในภาคที่สี่และภาคสุดท้ายที่สร้างโดยผู้สร้างแฟรนไชส์ ผู้กำกับระดับตำนานอย่าง Wes Craven ก็ถูกนำมาใช้อีกครั้งเช่นกัน เพราะใครดูภาคนั้นก็จะเข้าใจว่าตัวละครนี้ตายไปแล้ว เป็นที่ตื่นเต้นอย่างมากสำหรับแฟน ๆ ของซีรีส์เช่นกันรีวิวหนัง Scream 6

บทความที่เกี่ยวข้อง